การตลาดออนไลน์

บทสรุป SEO คืออะไรและในอนาคตยังจำเป็นหรือไม่? 

คุณเคยสงสัยมั้ย…ว่าเว็บไซต์ของคุณอยู่บนเครื่องมือค้นหาหรือยัง? และหากต้องการให้ลูกค้าค้นหาเว็บไซต์ของเราเจอและเข้ามายังเว็บไซต์มากขึ้นจะทำอย่างไร? แล้วจะทำอย่างไรให้เว็บไซต์ติดอันดับการค้นหาบนเครื่องมือค้นหาเหล่านั้น? บทความนี้ เราจะพาคุณไปค้นหาคำตอบของการทำ SEO พร้อมกับเรียนรู้เทคนิคดี ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำ SEO ให้ติดอันดับในเว็บค้นหาอย่างมืออาชีพ! 

SEO คืออะไร?

ก่อนอื่นเลยมาทำความรู้จัก SEO คืออะไร? SEO หรือ Search Engine Optimization เป็นกระบวนการและกลยุทธ์ที่ใช้ในการปรับแต่งเว็บไซต์เพื่อให้เกิดการแสดงผลที่ดีในเครื่องมือค้นหา (SERPs) เช่น Google, Bing, Yahoo และเครื่องมือค้นหาอื่น ๆ ธุรกิจส่วนใหญ่มักใช้ SEO เพื่อปรับแต่งเนื้อหาและโครงสร้างของเว็บไซต์ให้เหมาะสมและน่าค้นหา เพื่อเพิ่มการมองเห็นให้กับเว็บไซต์ของธุรกิจได้มากขึ้น  โดยเฉพาะในยุคดิจิตอลที่มีการแข่งขันสูง การทำ SEO ถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญที่หลาย ๆ ธุรกิจไม่ควรมองข้าม

ปัจจุบันการทำ SEO ยังจำเป็นหรือไม่?

แน่นอนว่าในปีปัจจุบัน การทำ SEO ยังคงเป็นสิ่งจำเป็นและยังคงเป็นกลยุทธ์ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของเว็บไซต์ได้อย่างดี เพราะในสภาวะการแข่งขันในตลาดดิจิตอลที่เข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ เว็บไซต์ที่สามารถปรับปรุงการทำ SEO ให้ดีขึ้นจะมีโอกาสติดอันดับผลการค้นหาหน้าแรกบนเครื่องมือค้นหาต่าง ๆ และได้รับความสนใจจากผู้ใช้งานใหม่ ๆ มากขึ้น ซึ่งการทำ SEO ในปี 2023 ยังคงมีความสำคัญ ดังนี้

  • SEO สำคัญในการเพิ่มการแสดงผลการค้นหา
    การทำ SEO อย่างเหมาะสมจะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณปรากฏในผลการค้นหาสูงขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการเพิ่มโอกาสในการได้รับความสนใจและการเข้าชมจากผู้ใช้งานใหม่ ๆ มากยิ่งขึ้น
  • SEO สำคัญในสร้างความน่าเชื่อถือ
    การปรับปรุง SEO ช่วยให้เว็บไซต์ของคุณมีความน่าเชื่อถือสูงขึ้น โดยการเพิ่มคุณภาพคอนเทนต์ ปรับแต่งโครงสร้างของเว็บไซต์ และสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ใช้งาน
  • SEO สำคัญในการตอบสนองความพึงพอใจของผู้ใช้
    SEO ที่ดีจะช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถค้นหาและเข้าถึงเนื้อหาที่ต้องการได้อย่างง่ายดาย เมื่อผู้ใช้งานพบเนื้อหาที่มีคุณค่าและตอบสนองความต้องการของพวกเขาได้ จะทำให้มีโอกาสที่จะเพิ่มความเชื่อมั่นและความพึงพอใจในการใช้งานเว็บไซต์ของคุณมากยิ่งขึ้น
  • SEO สำคัญในการแข่งขันในตลาด
    การทำ SEO ที่ดีช่วยให้เว็บไซต์ของคุณมีข้อได้เปรียบกับคู่แข่งในยุคดิจิตอล ยกตัวอย่างเช่น การติดอันดับสูงในผลการค้นหาจะช่วยเพิ่มโอกาสในการแสดงและเข้าถึงโดยผู้ใช้ได้มากขึ้น การปรับปรุงเว็บไซต์จะทำให้ผู้ใช้มีประสบการณ์ที่ดีและช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจ
  • SEO สำคัญในการเติบโตของธุรกิจ
    หากเว็บไซต์ของคุณเป็นที่รู้จักในโลกดิจิตอล จะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือ สร้างโอกาสในการเข้าถึงลูกค้าได้จำนวนมาก และมีโอกาสเพิ่มการติดต่อธุรกิจ การขายผลิตภัณฑ์หรือบริการ นำไปสู่การเติบโตของธุรกิจได้อีกด้วย

เหตุใดการทำ SEO บน Google จึงได้รับความนิยมในธุรกิจไทย?

เครื่องมือค้นหามีมากมายให้ผู้ใช้งานเลือกใช้ เช่น Yahoo, Bing, DuckDuckGo, Baidu และอื่น ๆ อีกมากมาย อย่างไรก็ตาม ในไตรมาสแรกของปี 2023  ผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตในประเทศไทยกว่า 99% ยังคงเลือกใช้ Google เป็นเครื่องมือค้นหาหลัก ซึ่งเป็นสาเหตุที่หลาย ๆ ธุรกิจยังคงให้ความสำคัญกับการทำ SEO บน Google มากกว่าเครื่องมือค้นหาอื่น ๆ เพราะมันช่วยเพิ่มอัตราคลิก (click-through rate) โดยเฉลี่ยถึง 28% ซึ่งสูงกว่าเว็บไซต์ในผลการค้นหาที่อยู่ในอันดับที่ 10 ถึง 10 เท่า ทำให้การติดอันดับหน้าแรกของผลการค้นหา Google ช่วยเพิ่มโอกาสในการเผยแพร่และเพิ่มการรับรู้แบรนด์ได้มากขึ้น

สร้างผลลัพธ์ SEO ดีขึ้นด้วยการทำความเข้าใจอัลกอริทึมของ Google

อัลกอริทึมการจัดอันดับผลการของหาของ Google เป็นกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ที่ใช้เทคโนโลยีและข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์มาวิเคราะห์และประมวลผลเนื้อหามาแสดงผลให้เหมาะสมต่อคำค้นหาที่ผู้ใช้งานต้องการค้นหา โดยอัลกอริทึมของ Google จะมีความซับซ้อนและมีหลายปัจจัยที่ถูกนำมาพิจารณาเพื่อแสดงผลลัพธ์ที่เหมาะสมแก่ผู้ใช้งาน โดยมีปัจจัยหลัก ดังนี้

  1. คำค้นหา (Query)
    Google จะวิเคราะห์คำค้นหาหรือคีย์เวิร์ดที่ผู้ใช้งานป้อนเข้ามา โดยพิจารณาคำศัพท์, ลำดับคำ, คีย์เวิร์ด, คำนำหน้า, คำต่อท้าย เป็นต้น เพื่อเข้าใจว่าผู้ใช้งานต้องการหาอะไรและมีความต้องการอย่างไร
  2. ดัชนี (Indexing)
    Google จะทำการค้นหาและบันทึกข้อมูลจากเว็บไซต์ทั่วโลก รวมถึงคีย์เวิร์ด เนื้อหา และโครงสร้างของเว็บไซต์เพื่อสร้างดัชนีชี้วัดที่ใช้ในการทำงานของอัลกอริธึมที่วัดผล SEO
  3. ปัจจัยการจัดอันดับ (Ranking Factors)
    Google จะใช้ปัจจัยต่าง ๆ เพื่อจัดอันดับผลลัพธ์การค้นหา ซึ่งปัจจัยเหล่านี้รวมถึงความสมเหตุสมผลของเนื้อหา ความเกี่ยวข้องเว็บไซต์กับคำค้นหา คุณภาพของเว็บไซต์ การโหลดหน้าเว็บ ประสบการณ์ของผู้ใช้บนอุปกรณ์ต่าง ๆ และอื่น ๆ
  4. ปัจจัยการประเมินคุณภาพ (Quality Assessment Factors)
    Google มีการประเมินคุณภาพของเว็บไซต์โดยใช้ปัจจัยที่หลากหลาย เช่น คอนเทนต์ที่เป็นปลอดภัย ความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ ความเหมาะสมของข้อมูล ความถูกต้อง และปัจจัยอื่น ๆ
  5. ปัจจัยการเผยแพร่ (Display Factors)
    เมื่อ Google ตัดสินอันดับผลการค้นหา จะมีพารามิเตอร์อื่น ๆ เพิ่มเติมขึ้นมา เพื่อใช้ในการเลือกและแสดงผลการค้นหาที่เหมาะสม เช่น ตำแหน่งที่ตั้งของผู้ใช้ เครื่องมือที่ใช้ หรือผลการค้นหาก่อนหน้า เป็นต้น

อัลกอริทึมเหล่านี้จะทำงานร่วมกันเพื่อให้ผลลัพธ์การค้นหาที่มีคุณภาพสูงและเป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้งาน อย่างไรก็ตามอัลกอริทึมของ Google ยังคงได้รับการอัพเดตและปรับปรุงอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ผลการค้นหาดีที่สุดสำหรับผู้ใช้งาน ซึ่งวิธีการทำงานและปัจจัยที่ใช้ในอัลกอริทึมการค้นหานั้นยังคงเป็นความลับของ Google และอาจมีการเปลี่ยนแปลงเป็นประจำเพื่อให้ตรงกับความต้องการของผู้ใช้งานและพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา

ทำไมทำ SEO แล้ว แต่เว็บไซต์ยังไม่ติดอันดับในหน้าแรกของ Google?

แน่นอนว่าการทำความเข้าใจอัลกอริทึมของ Google จะทำให้เราเข้าใจถึงวิธีการจัดอันดับผลการทำ SEO มากยิ่งขึ้น แต่หลาย ๆ คน อาจยังมีคำถามว่าทำไมทำ SEO แล้ว แต่เว็บไซต์ของคุณยังไม่ติดอันดับในหน้าแรกของ Google นั่นเพราะ Google มีปัจจัยหลายอย่างที่ส่งผลต่อการติดอันดับของเว็บไซต์ โดยมีปัจจัยสำคัญดังนี้

  1. การค้นคีย์เวิร์ด (Keyword Search)
    กระบวนการค้นหาคำหรือวลีที่จะอธิบายเนื้อหาบนเว็บไซต์ และช่วยทำให้เว็บไซต์ติดผลการค้นหาหน้าแรก อย่าง Keywords จะต้องเกี่ยวข้องกับธุรกิจ คอนเทนต์ หรือข้อมูลบนเว็บไซต์ หาก Keywords มีความเกี่ยวโยงกับข้อมูลบนเว็บไซต์มากเท่าไหร่ยิ่งเพิ่มโอกาสในการติดอันดับการค้นหามากเเท่านั้น ซึ่งโดยทั่วไปแล้วคีย์เวิร์ดมักจะแบ่งออกเป็น คำสำหรับค้นหาข้อมูล, คำสำหรับค้นหาผลิตภัณฑ์หรือบริการ, คำสำหรับค้นหาสถานที่, คำสำหรับค้นหาแนวทางหรือขั้นตอนการทำสิ่งต่าง ๆ , คำสำหรับค้นหาบุคคลหรือองค์กร เป็นต้น
  2. คุณภาพของเนื้อหา (Quality of content)
    การปรับปรุงคุณภาพเนื้อหาและปริมาณให้เหมาะสมต่อผู้ใช้งานจะช่วยเพิ่มโอกาสในการติดอันดับ โดยเนื้อหาที่คุณภาพดีจะต้องเกี่ยวข้องกับคำค้นหา มีความสมบูรณ์เป็นระเบียบ น่าสนใจ และมีข้อมูลที่อัพเดตและสดใหม่เสมอ เพื่อช่วยให้ผู้ใช้งานได้รับประสบการณ์ที่ดีในการเข้าชมเว็บไซต์
  3. โครงสร้างเว็บไซต์ (Website Structure)
    เว็บไซต์ที่เข้าใจง่าย มีความเป็นระเบียบ ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงได้ง่ายจะทำให้ Google เห็นถึงความสำคัญของเว็บไซต์และสร้างโอกาสในการติดอันดับการค้นหาหน้าแรกได้มากยิ่งขึ้น เพราะ Google จะให้ความสำคัญกับประสบการณ์ผู้ใช้งานว่าพวกเขาได้เข้าถึงเนื้อหาที่ดีได้ง่าย มีความพึงพอใจมากน้อยเพียงใด 
  4. การสร้างลิงก์ (Link Building)
    การสร้างความสัมพันธ์กับเว็บไซต์อื่นที่เกี่ยวข้องและสร้าง Backlink กลับมายังเว็บไซต์ของเราเป็นปัจจัยหนึ่งที่ผู้ทำ SEO ควรให้ความสำคัญ เพราะจะช่วยให้ติดอันดับค้นหาหน้าแรกได้มากขึ้น Backlink จะเพิ่มประสิทธิภาพการเข้าถึงและความน่าเชื่อถือให้เว็บไซต์ของธุรกิจ และการได้รับ Backlink จากเว็บไซต์ที่มีความน่าเชื่อถือสูงยังช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์และเพิ่มโอกาสในการติดอันดับสูงขึ้นในผลการค้นหา
  5. ประสบการณ์ผู้ใช้ (User Experience)
    Google ให้ความสำคัญกับประสบการณ์ผู้ใช้มาเป็นอันดับแรก การปรับปรุงเว็บไซต์ให้มีประสิทธิภาพ ใช้งานง่าย คำนึงถึงผู้ใช้งานจึงเป็นสิ่งจำเป็นและสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพการทำ SEO เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการติดอันดับหน้าแรกบน Google ไม่ว่าจะเป็น ความเร็วในการโหลดเว็บไซต์ให้ไม่ต้องคอยนาน  การเรียงลำดับคอนเทนต์บนเว็บไซต์ การปรับปรุงดีไซน์ เป็นต้น
  6. การแข่งขันของคีย์เวิร์ด (Keyword competition)
    คำค้นหาบางคำอาจมีการแข่งขันสูง โดยเฉพาะในธุรกิจที่มีการติดต่อผ่านทางเว็บไซต์เป็นหลัก ซึ่งธุรกิจสามารถใช้เครื่องมือ Keyword Planner ในการวางแผนการทำ SEO หรือเลือกใช้คีย์เวิร์ด แบบอื่น ๆ เพื่อหลีกเลี่ยงการแข่งขันก็ได้เช่นกัน เช่น
    – การใช้คีย์เวิร์ดยาว (Long-tail keywords) ที่มีความสอดคล้องกับธุรกิจและเฉพาะเจาะจงมากยิ่งขึ้น เช่น ใช้การค้นหา “ร้านอาหารอิตาเลียนคาเฟ่ในกรุงเทพฯ” แทนการใช้ “ร้านอาหารอิตาเลียน”
    – คำที่มีความสอดคล้อง (Semantic keywords) ใช้คำที่เกี่ยวข้องและสอดคล้องกับเนื้อหาบนเว็บไซต์ในทางอ้อม เช่น การปลูกผัก, สวนครัว, การดูแลผักสวนครัว, การเก็บเกี่ยวผัก
    – การใช้คีย์เวิร์ดที่เป็นเทรนด์ (Trend keywords) คีย์เวิร์ดยอดนิยมจะช่วยเพิ่มการมองเห็นและการพบเจอได้มากขึ้น
    – การค้นหาเสียง (Voice search) เป็นเทรนด์ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในการใช้งานเครื่องมือช่วยเสียง เช่น Siri, Google Assistant, Alexa และอื่น ๆ เว็บไซต์ที่รองรับการทำ Voice search จะช่วยให้ผลการค้นหาที่มากขึ้นอีกด้วย

5 เทคนิคการทำ SEO สำหรับปี 2023 มีอะไรบ้าง?

การทำ SEO บน Google นั้นมีเทคนิคมากมายที่ธุรกิจสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการติดอันดับการค้นหา ดังนี้

เทคนิคที่ 1 การเลือกใช้คีย์เวิร์ดที่เหมาะสม

ถ้า content marketing เป็นบ้าน Keyword reseach ก็เปรียบเสมือนพื้นบ้าน ดังนั้น การเลือกใช้คีย์เวิร์ดที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญในการปรับปรุงการทำ SEO ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น การวิจัยคีย์เวิร์ดจะช่วยให้คุณเข้าใจกลุ่มเป้าหมายของคุณและเข้าใจในสิ่งที่ลูกค้ากำลังค้นหา รวมไปถึงคำและวลีที่พวกเขาใช้ โดยวิธีการค้นหาคีย์เวิร์ดที่เหมาะสม มีดังนี้

วิธีที่ 1 เทคนิคหาไอเดียการใช้คีย์เวิร์ด

คุณอาจสงสัยว่าคนทั่วไปค้นหาหัวข้ออะไรบ้าง? วิธีที่ดีที่สุด คือ “ถามตัวเองว่า ผู้คนค้นหาอะไรบ้างเกี่ยวกับธุรกิจของคุณ” ด้วยการค้นหาหัวข้อเหล่านั้นผ่านเว็บไซต์อื่น ๆ โซเชียลมีเดีย หรือบล็อก ตัวอย่างเช่น สารบัญวิกิพีเดีย (Wikipedia) จะมีบทความกว่าหมื่นบทความถูกเขียนไว้ ให้คุณไปที่การค้นหา และเสิร์ชคีย์เวิร์ด 1 คำ จะพบคำมากมายที่อยู่ในเนื้อหาและหัวข้อย่อย ๆ เหล่านั้น และบนวิกิพีเดียคุณสามารถค้นพบแม้แต่คำที่ควรทำ Backlink อยู่มากมายที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการทำ SEO ได้

หรือคุณจะเลือกใช้การค้นหา Google สุดคลาสสิกด้วยการใส่คีย์เวิร์ด 1 คำเช่นกัน และเลือกดู “การค้นหาที่เกี่ยวข้อง (Related Searches)” คุณจะพบกับคำค้นหาอีก 8 คำหรือมากกว่านั้น ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นคำที่คนทั่วไปใช้ค้นหาเพิ่มเติมนั่นเอง นอกจากนี้ ยังสามารถใช้วิธีเดียวกันนี้ได้ใน Reddit, YouTube, Bing ได้อีกด้วย

วิธีที่ 2 เทคนิคการใช้เครื่องมือคีย์เวิร์ด

แน่นอนว่าคุณจะใช้วิธีที่ 1 เพียงอย่างเดียวก็ได้ แต่การมีเครื่องมือวิจัยคีย์เวิร์ดจะช่วยให้คุณสามารถวางแผนการใช้คีย์เวิร์ดได้มีประสิทธิภาพและเหมาะสมได้มากขึ้น โดยเครื่องมือที่ใช้นั้นมีหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น Google Keyword Planner ที่มีความน่าเชื่อถือช่วยให้ค้นหาคีย์เวิร์ดต่าง ๆ พร้อมดูปริมาณการค้นหาต่อเดือนได้, ExplodingTopics.com แหล่งรวมคีย์เวิร์ดยอดนิยมที่สามารถดูได้ว่าคำไหนกำลังมาแรง, Ubersuggest เครื่องมือที่ช่วยค้นหาคีย์เวิร์ดและช่วยวิเคราะห์ ปริมาณการค้นหา CPC และการแข่งขันได้ นอกจากนี้ ยังมีเครื่องมืออื่น ๆ อีกมากมายที่ช่วยให้คุณหาคีย์เวิร์ดได้เหมาะสมซึ่งคุณสามารถเลือกใช้ให้เหมาะสมกับวิธีการทำ SEO ของคุณ

เทคนิคที่ 2 การสร้างคอนเทนต์บนเว็บไซต์

แน่นอนว่าคีย์เวิร์ดเป็นสิ่งสำคัญที่เพิ่มประสิทธิภาพการทำเว็บไซต์ การโปรยคีย์เวิร์ดไปในคอนเทนต์จะช่วยการมองเห็นของเครื่องมือค้นหา แต่คีย์เวิร์ดเหล่านั้นควรใช้ในเนื้อหาอย่างเหมาะสมและมีความเกี่ยงโยงกัน เพราะความสำเร็จของเว็บไซต์ในการทำ SEO คือ การสร้างคอนเทนต์บนเว็บไซต์ให้มีคุณภาพและเป็นกลาง เครื่องมือค้นหาจะเข้ามาเก็บข้อมูลบนเว็บไซต์ของคุณและทำการวิเคราะห์ว่าเนื้อหาบนเว็บไซต์มีความน่าเชื่อถือ มีคุณภาพ และเป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้งานอย่างไร ซึ่งในปี 2023 เทคนิคการสร้างคอนเทนต์เพื่อรองรับ SEO มีดังนี้

  1. ทำความเข้าใจลูกค้า ยิ่งคุณเข้าใจกลุ่มเป้าหมายมากเท่าไหร่ ยิ่งสามารถปรับแต่งการทำคอนเทนต์ได้เหมาะสมกับความต้องการของลูกค้าได้มากเท่านั้น ตัวอย่างเช่น หากคุณขายขนมปังอบกรอบ ลูกค้าอาจสนใจเรื่องออร์แกนิก ความคุ้มค่า ส่วนผสมปลอดกลูเตน ดังนั้น คุณควรเขียนคอนเทนต์ที่เกี่ยวข้องกับส่วนผสมเพื่อสร้างการรับรู้ว่าแบรนด์ของคุณเหมาะสม เป็นต้น
  2. การวิเคราะห์และการค้นคว้าคีย์เวิร์ด เมื่อคุณรู้ว่าลูกค้าเป็นใคร สนใจเรื่องอะไร ให้คุณใช้เวลากับการวิเคราะห์คำค้นหาที่เหมาะสม จัดเรียงตามกลุ่มและประเภทเพื่อนำมาสร้างคอนเทนต์ที่เหมาะสม โดยอาจใช้เครื่องมือวิเคราะห์เพื่อหาคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องและมีความนิยมสูง เช่น Google Trends หรือ Keyword Planner มาค้นหาคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องและเหมาะสม
  3. วางแผนการทำคอนเทนต์ ลองเลือกใช้รูปแบบคอนเทนต์ที่หลากหลาย เช่น บทความ บทวิจารณ์ คู่มือ รีวิว และอื่นๆ เพื่อให้ผู้ใช้งานได้รับประสบการณ์ที่หลากหลายและน่าสนใจ รวมถึงเผยแพร่คอนเทนต์บนเว็บไซต์ให้สม่ำเสมอ และอัปเดตคอนเทนต์ให้ทันสมัยอยู่บ่อย ๆ จะช่วยให้อัลกอริธึมของเครื่องมือค้นหาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
  4. เสริมคอนเทนต์ SEO จากบุคคลที่ 3 หนึ่งในการทำ SEO ให้มีประสิทธิภาพ คือ การทำ Backlink โดยการเสริมคอนเทนต์เชื่อมโยงธุรกิจบนเว็บไซต์ของพันธมิตรหรือเว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือ ซึ่งการทำ Backlink จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้เว็บไซต์ของคุณได้
  5. ตรวจสอบการทำงานของ SEO อยู่สม่ำเสมอ หลังจากเผยแพร่คอนเทนต์แล้ว ควรหมั่นตรวจสอบให้แน่ใจว่าดัชนี้ชี้วัดของเครื่องมือค้นหายังคงทำงานอยู่บนเว็บไซต์ โดยตรวจสอบความครบถ้วนของเครื่องมือต่าง ๆ เช่น เมต้าดาต้า, Backlink, URL, ความเร็วในการโหลดเว็บไซต์ เป็นต้น

เทคนิคที่ 3 การเพิ่มประสิทธิภาพของเว็บไซต์

หากคุณต้องการให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับสูงในผลการค้นหาของ Google และเพิ่มการเข้าชมของผู้ใช้งาน การเพิ่มประสิทธิภาพของเว็บไซต์เป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องพิจารณา ดังนี้

  1. ปรับปรุงประสิทธิภาพโหลดเว็บไซต์ ผู้ใช้งานมีความเร่งรีบและต้องการเว็บไซต์ที่โหลดเร็ว ใช้เทคนิคการปรับปรุงความเร็วในการโหลดของเว็บไซต์ เช่น การใช้รูปภาพที่มีขนาดเหมาะสม การลดขนาดไฟล์รูปภาพ การใช้แคชและเทคโนโลยีเซิร์ฟเวอร์ที่เหมาะสม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของเว็บไซต์ของคุณ
  2. การปรับแต่งโครงสร้างของเว็บไซต์ ออกแบบโครงสร้างของเว็บไซต์ให้เป็นมิตรต่อการนำทางและการค้นหาจะช่วยให้ประสิทธิภาพของเว็บไซต์ดีขึ้น เช่น การใช้ Alt tag เดียวกับ URL เพื่อให้ระบบการค้นหาเข้าใจเนื้อหาของเว็บไซต์ได้ง่ายขึ้น หรือการทำ Backlink ในคีย์เวิร์ดเพื่อให้ผู้ใช้สามารถกดอ่านเพิ่มเติมได้ง่ายขึ้น เป็นต้น
  3. การปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้งานบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ ในยุคดิจิตอลนี้ ผู้ใช้งานมักใช้งานเว็บไซต์ผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่ เช่น สมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต ดังนั้น ธุรกิจควรปรับเว็บไซต์ของคุณให้เข้ากับการใช้งานบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ โดยใช้ Responsive Design หรือการออกแบบให้เว็บไซต์ที่สามารถปรับขนาดและแสดงผลได้อย่างเหมาะสมกับหน้าจอของอุปกรณ์ต่าง ๆ
  4. การออกแบบโครงสร้างการเก็บข้อมูล เพื่อให้อัลกอริธึมเข้ามาเก็บข้อมูลได้ง่ายด้วยการออกแบบและเรียบเรียงองค์ประกอบของข้อมูลต่าง ๆ ให้ถูกจัดเก็บได้ง่ายเพื่อเพิ่มโอกาสในการแสดงผลข้อมูลในรูปแบบพิเศษ เช่น รีวิวสินค้า คะแนนการรีวิว ราคาสินค้า เป็นต้น

เทคนิคที่ 4 การใช้เทคโลยีในการช่วยทำ SEO

การใช้เทคโนโลยีในการช่วยทำ SEO เป็นส่วนสำคัญในการปรับปรุงประสิทธิภาพและการปรับแต่งเว็บไซต์ของคุณให้เหมาะสมกับเครื่องมือค้นหา และยังช่วยให้การทำ SEO สะดวกสบาย วัดผลได้ และแม่นยำมากยิ่งขึ้น โดยเทคโนโลยี่ที่นิยมใช้ในการทำ SEO ได้แก่

  1. การใช้ปลั๊กอินเว็บไซต์
    การทำ SEO ให้ง่ายและติดอันดับหน้าแรกได้ไว คุณต้องอาศัยปลั๊กอินในการช่วยทำงาน ปลั๊กอินเป็นส่วนขยายหรือโปรแกรมเสริมที่ช่วยให้นักพัฒนาเว็บไซต์สามารถปรับแต่งและเพิ่มฟังก์ชันเสริมต่าง ๆ ให้กับเว็บไซต์ได้ตามต้องการ ทำให้สามารถปรับปรุงเว็บไซต์ได้ไวและยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้น เช่น ปลั๊กอินการตอบรับคุกกี้ ปลั๊กอินวัดผลการทำงานของ SEO ฯลฯ ตัวอย่างเช่น Yoast SEO, Akismet, Schema Pro, WP Meta SEO  เป็นต้น 
  2. การใช้ AMP (Accelerated Mobile Pages) เพิ่มความเร็วในการโหลดหน้าเว็บบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ เนื่องจากผู้ใช้งานมักเร่งความเร็วในการเข้าถึงข้อมูล การใช้ AMP สามารถช่วยลดเวลาโหลดหน้าเว็บได้และเพิ่มประสิทธิภาพในการค้นหาบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ได้อย่างดี ช่วยให้เว็บไซต์มีประสิทธิภาพมากขึ้นและรองรับต่อการทำงานของเครื่องมือค้นหา
  3. การใช้ PWA (Progressive Web Apps) ช่วยให้เว็บไซต์สามารถทำงานได้เหมือนแอปพลิเคชันบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ และให้ผู้ใช้เข้าถึงเว็บไซต์ได้แม้ในสภาวะออฟไลน์ และได้รับประสบการณ์การใช้งานที่สมบูรณ์แบบและราบรื่นกว่าเว็บไซต์ทั่วไป
  4. การใช้ Schema Markup เครื่องมือที่ทำให้เครื่องมือค้นหาเข้าใจเนื้อหาของเว็บไซต์ได้ดีขึ้น ช่วยเพิ่มโอกาสในการแสดงผลข้อมูลที่เกี่ยวข้องในผลการค้นหา โดยใช้รหัสที่กำหนดไว้ในเว็บไซต์เพื่อบ่งชี้ถึงประเภทของข้อมูล เช่น รีวิวสินค้า ราคา คะแนนความนิยม เป็นต้น
  5. การใช้ระบบการจัดการเนื้อหา (Content Management System – CMS) เพื่อช่วยในการจัดการเนื้อหาที่เหมาะสมกับการทำ SEO ช่วยให้คุณสามารถจัดการและปรับแต่งเนื้อหาของเว็บไซต์ได้อย่างง่ายดาย เช่น WordPress, Drupal, Joomla เป็นต้น
  6. การใช้เทคโนโลยีความปลอดภัย SSL (Secure Sockets Layer) เพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้ผู้ใช้งานที่เข้ามายังเว็บไซต์ และเพิ่มความไว้วางใจด้วยเครื่องหมายการันตี โดยการเชื่อมต่อ SSL จะทำให้เครื่องมือค้นหาไว้วางใจในเว็บไซต์และจัดอันดับให้เว็บไซต์ที่มี SSL สูงขึ้นกว่าเว็บไซต์ทั่วไป

เทคนิคที่ 5 การวัดและวิเคราะห์ผลการทำ SEO

การวัดและวิเคราะห์ผลการทำ SEO สามารถใช้ตัวชี้วัดต่าง ๆ เพื่อประเมินผลได้ 6 ตัวชี้วัดหลักดังต่อไปนี้

  1. ตำแหน่งในผลการค้นหา (Search Engine Ranking)  ตรวจสอบตำแหน่งของเว็บไซต์ของคุณในผลการค้นหาจากคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจหรือคอนเทนต์ของคุณ ยิ่งอันดับสูงยิ่งแสดงถึงความสำเร็จในการทำ SEO มากเท่านั้น
  2. การเพิ่มผู้เข้าชมเว็บไซต์ (Website Traffic) วัดจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์และติดตามการเปลี่ยนแปลงของจำนวนผู้เข้าชมในระยะเวลาที่ทำ SEO หากหน้าเว็บไซต์ของคุณได้รับการเข้าชมสูงกว่าคู่แข่งแม้ว่าจะมีอันดับต่ำกว่าในคีย์เวิร์ดบางคำก็ถือว่าประสบความสำเร็จได้แล้ว โดยเครื่องมือวัดผลผู้เข้าชมเว็บไซต์มีหลากหลาย อาทิ Google Analytics, Moz Pro, SEMrush เป็นต้น
  3. อัตราการคลิก (Click-Through Rate) วัดร้อยละของผู้ใช้ที่คลิกเว็บไซต์ของคุณเมื่อเห็นผลการค้นหาในหน้าผลการค้นหา ยิ่งอัตราการคลิกสูงแสดงถึงความน่าสนใจและความน่าดึงดูดของเนื้อหาของคุณ
  4. เวลาในการเข้าชมเว็บไซต์ (Time on Site)  วัดระยะเวลาที่ผู้ใช้ใช้ในการเข้าชมและท่องเว็บไซต์ของคุณ ถ้าผู้ใช้อยู่ในเว็บไซต์เป็นเวลานานมากแสดงว่าคุณเข้าใจกลุ่มเป้าหมายเพราะพวกเขาสนใจเนื้อหาและอยากมีส่วนร่วมกับเว็บไซต์หรือธุรกิจของคุณ
  5. อัตราคอนเวอร์ชัน (Conversion Rate) ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ที่ต้องให้ความสำคัญเมื่อทำ SEO ยิ่งคอนเวอร์ชันสูงยิ่งทำให้ธุรกิจและรายได้ของธุรกิจเติบโตได้มากขึ้น ซึ่งคอนเวอร์ชันอาจหมายถึง การซื้อสินค้า การสมัครสมาชิก หรือการกรอกแบบฟอร์ม เป็นต้น
  6. อัตราการย้อนกลับ (Bounce Rate) เพื่อดูว่าผู้ใช้เข้ามายังเว็บไซต์ของคุณแล้วออกไปโดยไม่ทำอะไรหรือไม่ หากอัตราการย้อนกลับต่ำแสดงว่าผู้ใช้สนใจเว็บไซต์และคอนเทนต์ของคุณ แต่ถ้าอัตราการย้อนกลับสูงมากอาจแสดงถึงปัญหาหรือความไม่พึงพอใจในเว็บไซต์ซึ่งคุณควรทำการตรวจสอบสาเหตุเพื่อหาวิธีแก้ไขต่อไป

แนวโน้มการทำ SEO ในอนาคตจะเป็นอย่างไร?

ในอนาคต SEO จะได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้ใช้ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี และวิวัฒนาการของอัลกอริทึมของเครื่องมือค้นหา ทำให้ปัจจัยบางอย่างถูกเปลี่ยนแปลงไป โดยมีแนวโน้ม ดังนี้

การค้นหาด้วยเสียงจะแพร่หลายมากขึ้น

ด้วยความนิยมที่เพิ่มขึ้นของลำโพงหรือสมาร์ทโฮมอัจฉริยะที่เป็นผู้ช่วยในการค้นหา ซึ่งวิธีการรับมือกับการค้นหาด้วยเสียงคือการเลือกใช้คีย์เวิร์ดที่เป็นธรรมชาติ เป็นภาษาพูด หรือการเลือกใช้ Long-tail keywords ก็เป็นหนึ่งในวิธีที่จะรองรับการทำ SEO จากการค้นหาด้วยเสียงได้อีกด้วย

การมาของ Artificial Intelligence (AI) and Machine Learning (ML)

AI และ ML จะมีความสำคัญกับการทำ SEO มากขึ้นในอนาคต เพราะจะทำให้เครื่องมือค้นหาตีความคอนเทนต์ที่ซับซ้อนและเข้าใจผู้ใช้งานได้ดีมากขึ้น ซึ่งส่งผลให้ธุรกิจยิ่งต้องสร้างคอนเทนต์ที่มีคุณภาพสูงสุด และต้องทำความเข้าใจกลุ่มเป้าหมาย สร้างคอนเทนต์ที่เฉพาะเจาะจงกับความต้องการของผู้ใช้งานมากยิ่งขึ้น เพื่อให้ AI และ ML เข้าใจว่าเว็บไซต์ของคุณมีประโยชน์ต่อผู้ใช้งานจริง ๆ และช่วยจัดอันดับบนเครื่องมือค้นหาดีขึ้นนั่นเอง

คอนเทนต์วีดีโอยังคงมีความสำคัญอย่างต่อเนื่อง

แน่นอนว่าในระยะนี้คอนเทนต์วีดีโอมาแรงอย่างมากและไม่มีแนวโน้มว่าจะตกลงเลยสักนิด ในอนาคตการทำ SEO ด้วยคอนเทนต์วีดีโอจะยังคงเป็นองค์ประกอบสำคัญที่จะช่วยเพิ่มการมองเห็นของเครื่องมือค้นหา ธุรกิจจึงต้องเริ่มทำคอนเทนต์วีดีโอเพื่อรองรับการทำ SEO ในอนาคต

ความสำคัญของ Local SEO

ปริมาณการเพิ่มขึ้นของสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตมีผลต่อการค้นหาธุรกิจบนพื้นที่ เพราะผู้ใช้งานสามารถค้นหาธุรกิจหรือบริการในพื้นที่ใกล้เคียงได้โดยตรง และผลการค้นหาจะแสดงธุรกิจที่อยู่ใกล้เคียงที่สุดกับตำแหน่งที่ผู้ใช้งานอยู่ การใช้งานที่สะดวกสบายและรวดเร็วนี้จึงทำให้ผู้ค้นหามักมองหาและเลือกธุรกิจที่อยู่ใกล้เคียงมากขึ้น นั่นเป็นสาเหตุให้ในอนาคต Local SEO จะสำคัญมากยิ่งขึ้นต่อการทำเว็บไซต์

การให้ความสำคัญกับ E-A-T (Expertise, Authority, Trustworthiness)

E-A-T จะยังเป็นส่วนสำคัญของการทำ SEO ทั้งในปัจจุบันและอนาคต ซึ่งเป็นหลักการที่ Google หรือเครื่องมือค้นหาใช้ในการประเมินและจัดอันดับเว็บไซต์ในผลการค้นหา โดยพิจารณาคุณภาพและความน่าเชื่อถือของเนื้อหาและเว็บไซต์ เพื่อให้ผู้ใช้งานได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและน่าเชื่อถือในผลการค้นหาของตนเอง

สรุป

การทำ SEO เป็นหนึ่งในกระบวนการรปรับแต่งและปรับปรุงเว็บไซต์เพื่อรองรับอัลกอริทึมของเครื่องมือค้นหา ถึงแม้ในปัจจุบัน หลายคนอาจยังกังวลเรื่องการทำ SEO ในอนาคตว่าจะยังจำเป็นหรือไม่ จะคุ้มค่ากับการลงทุนหรือไม่จากการที่เทคโนโลยีและพฤติกรรมของผู้ใช้ที่เปลี่ยนแปลงไป เราบอกได้เลยว่า ในอนาคตการทำ SEO จะยังคงเป็นส่วนสำคัญของกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ เพราะเว็บไซต์หลายล้านแห่งยังคงแข่งขันกันเพื่อขึ้นอันดับ 1 บนหน้าผลการค้นหา และผู้ใช้ยังคงค้นหาข้อมูลผ่านเครื่องมือค้นหาต่าง ๆ ธุรกิจจึงยังคงต้องให้ความสำคัญกับการทำ SEO เพื่อให้ติดอันดับ 1 บนหน้าผลการค้นหา และยังสรุปได้อีกว่าในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าเครื่องมือค้นหาจะให้ความสำคัญกับประสบการณ์ของผู้ใช้ ซึ่งหมายความว่าเว็บไซต์ที่ให้ประสบการณ์ที่ดีแก่ผู้ใช้จะมีโอกาสเพิ่มอันดับสูงขึ้น และยังมีปัจจัยอื่น ๆ เช่น ความเร็วของเว็บไซต์ คุณภาพของเนื้อหา และความสะดวกในการเข้าถึง เป็นต้น รู้อย่างนี้แล้ว…อย่าลืมนำเทคนิคดี ๆ ที่ได้จากบทความนี้ไปปรับการทำ SEO บนเว็บไซต์ของคุณกันนะครับ!

Back to top button